วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมืองน่าเที่ยวประเทศเยอรมนี


 เมืองน่าเที่ยวประเทศเยอรมนี








เมืองมิวนิค
เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน เป็นเมืองที่มีหอศิลปะสวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่มี ชื่อเสียงหลายแห่ง งานมหกรรมใหญ่ประจำปีทั่วโลกรู้จักคือ Oktoberfest เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น BMW และซีเมนส์ บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และสถาบัน วิจัยอีกหลายแห่ง มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับ สูงอีก 8 แห่ง


สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ

ปราสาทนอยชวานชไตน
เดินทางลัดเลาะไปตามเส้นทางไหล่เขาสู่ สะพานควีนแมรี่ ซึ่งเป็นจุด ชมวิวปราสาทที่ดีที่สุดชมความสวยงามของป่าไม้ และบ้านพักสไตล ์ชาเล่ย์ ที่ประดับประดาไป ด้วยดอกไม้หลากหลายสี ชมทิวทัศน์อันงดงามของตัว ปราสาทท ที่โดดเด่น มีทะเลสาบและธาร น้ำล้อมรอบ ภายในตัวปราสาทที่ตกแต่งไว้อย่างอลังการ ปราสาทนี้สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 18–19รัชสมัยของพระเจ้าลุดวิกที่ 2ตามจินตนาการ ของคีตกวีชาวเยอรมนี ริชาร์ดวากเนอร์ พระสหายคู่ พระทัย ชม ห้องทรงงาน, ห้องบรรทม,ห้องฮอลล์ที่ใช้ในการแสดงโอเปร่าและคอนเสิร์ต รับฟังเรื่องราวอันน่าสลดใจ ของผู้ที่ สร้างปราสาทแห่งนี้



ปราสาทนอยชวานชไตน




จตุรัสมาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz)
Marienplatz (มาเรียนพลัทซ์) หรือ Mary's Square (จตุรัสมาเรีย หรือ จตุรัสแมรี่)
อยู่กลางใจเมืองของนครมิวนิค ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1158 (850 ปีมาแล้ว)ตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง (Middle Ages) เป็น " หัวใจ " ของเขตเมืองเก่า และเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มชมเมือง ในยุคกลางที่นี่เคยเป็นตลาด แต่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการจัดงานสำคัญทางวัฒนธรรมต่างๆ มาเรียนพลาตซ์ มีสิ่งที่น่าชมมากมาย อาทิ Mariensaule รูปปั้นพระแม่มารีทองคำบนเขาสูงศาลาว่าการเมืองใหม่ ( Neuse Rathaus ) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ Glockenspiel หอระฆัง ที่มีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำ เวลา 11 โมงเช้าในหน้าหนาว และ 5 โมงเย็นในหน้าร้อน รถไฟฟ้าใต้ดินสาย U3/U6 และรถไฟ S-Bahn ลงที่สถานีมาเรียนพลาตซ์






เรสซิเดนซ์ (Residentz) 
พระราชวังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ มิวนิค ที่ซึ่งเป็นที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียนมานาน ปัจจุบันห้องมีจำนวน 130 ห้อง ภายในพระราชวังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เครื่องเคลือบ และเครื่องเงิน ไฮไลท์ที่ควรเยี่ยมชมคือ Antiquariumห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่สวยงาม( Residentz ) ตั้งอยู่ที่ Residentzstrasse 1 ในย่านใจกลางเมือง เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ ในเมืองเมษายน-ตุลาคม เวลา 9.00-18.00 น. เดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เปิดเวลา 10.00-16.00 น. ค่าเข้าชม 5 ยูโรเด็กไม่เสียเงิน โทร. +49 (0)89-2906-71




โอลิมปิกปาร์ก (Olympic Park)
ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่สำหรับการจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน ที่มิวนิคเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 1972 ปัจจุบันนี้โอลิมปิกปาร์กเปรียบเหมือนส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตชาวเมือง ที่นี่เป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์กสมัยใหม่ที่สำคัญ 2 อย่างของมิวนิค คือ หอโทรคมนาคม สูง 290เมตร และสเตเดียมทันสมัยสร้างแบบหลังคาเต็นท์ด้วยแท่งสลิงเหล็กยึดแขวนแผ่นอะครีลิกโปร่งแสงที่คลุม เป็นหลังคาเหมือนใยแมงมุม ถ้าไม่กลัวความสูง สามารถขึ้นลิฟต์ไปชมวิวชั้นบนสุดได้ (เสียค่าขึ้น 3 ยูโร) ภายในโอลิมปาร์กแห่งนี้ยังมีสระว่ายน้ำ และที่เล่นสเก็ตสำหรับผู้รักการออกกำลังกายทั้งหลาย โอลิมปาร์ก ตั้งอยู่ที่ Spiridon Louis-Ring 21 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-23.30 น. โทร. +49 (0) 89-3067-2414 รถไฟใต้ดินสาย U3 ลงสถานี Olympiazentrum


พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน (The Bavarian National Museum) 
อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและศิลปะ โดยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2 จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์นี้คือ คอลเลกชั่นงานศิลป์ชั้นยอด ตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึงอาร์ตนูโว จัดแสดงเต็มพื้นที่ทั้ง 3 ชั้น ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาวัฒนธรรมและศิลปะยุโรปในยุคต่าง ๆ ผ่านทางภาพเขียน เฟอร์นิเจอร์ งานหัตถกรรม เครื่องดนตรี และอาวุธในสมัยโบราณพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียนตั้งอยู่ที่ Prinzregentenstenstrasse 3 เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. วันพฤหัสบดีเปิดเวลา 10.00-20.00 น. โทร +49 (0) 89-2112-401

ตลาดวิคทัวเลียน (Viktualienmarkt)
ถูกค้นพบในปี 1807 เป็นตลาดผักและผลไม้สดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ที่ที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมาซื้อและหาของกิน ตั้งแต่ผักสด ๆ จากฟาร์มไปจนถึงผลไม้นำเข้า รวมถึงแผงลอยที่ขายอาหารทานเล่น เช่น ชีส ฮอตด็อก หรือไส้กรอกอีกนับไม่ถ้วนViktualienmarket เปิดวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 7.00-20.00 น. วันเสาร์ 7.00-16.00 น. ปิดวันอาทิตย์ รถไฟฟ้าใต้ดินสาย U-Bahn และรถไฟ S-Bahn ลงที่สถานีมาเรียนพลาตซ์


พิพิธภัณฑ์นอย พิกาโกเทค (Neue Pinakothek) 
พิพิธภัณฑ์ศิลปะพินาโกเทคยุคใหม่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับอัลเท่อ พินาโกเทค (The Alter Pinakothek ) จัดแสดงภาพวาดและงานปติมากรรมยุโรปตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 20 ที่มีจุดเด่นอยู่ที่งานศิลปะเยอรมันในสมัยศตวรรษที่ 19 คอลเลกชั่นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งยวด นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นที่เก็บรวบรวมคอลเลกชั่นดี ๆ ของงานศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์จากประเทศอังกฤษ สเปน และฝรั่งเศส ในสมัยศตวรรษที่ 19อีกด้วยNeue Pinakothek ตั้งอยู่ที่ Barer Stasse 29 โทร. +19 (0) 89-2380-5195 เปิดตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. ปิดวันอังคาร ค่าเข้าชม 5 ยูโร วันอาทิตย์เข้าฟรี รถไฟฟ้าใต้ดินสาย U2/U8 ลงที่ Theresienstasse รถรางสาย 27 ลงสถานี Pinakothek รถเมล์สาย 53 ลงป้าย Schellingstrasse



เมืองเบอร์ลิน 
เมืองหลวงของประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นเมืองใหญ่สุด มีประชากร 3.5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรม มีโรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต วงดนตรีขนาดใหญ่ที่เรียกว่าวงออเคสตร้า พิพิธภัณฑ์ และเวทีแสดงศิลปะและดนตรีที่มีชื่อเสียง มีสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 11 แห่ง วิทยาลัยศิลปะและดนตรีอีก 6 แห่ง



สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
กำแพงเบอร์ลิน (Berliner Mauer)
อดีตแห่งการแบ่งแยกที่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่กิโลเมตร เพื่อเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ให้กับคนรุ่นหลัง จะมีไม้กางเขนปักอยู่ นั่นเป็นบริเวณที่ผู้หลบหนีในอดีตถูกยิงเสียชีวิตตรงนั้น เขาเลยเอาไม้ กางเขนมาปักเอาไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจ




พิพิธภัณฑ์ชาร์ลี เช็คพ้อยส์ (CHARLIE CHECKPOINT)
จุดตรวจคนเข้า-ออก ระหว่าง 2 ฝั่งเบอร์ลิน ซึ่งท่านจะได้เห็นภาพของความพยายาม ในการหลบหนี ของผู้คนจากฝั่งตะวันออก สู่ฝั่งตะวันตก



ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor/Brandenburg Gate)เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลินเพราะเป็นประตูเมืองเก่า ได้รับการก่อสร้างระหว่าง ค.ศ.1788-91 ตามศิลปะแบบโรมัน  โดยฝีมือ C.G.Langhans ตั้งอยู่ที่ Pariser Platz และถนน Unter den Linden  สถานที่แห่งนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบสุข  และมีความสำคัญโดยเป็นจุดแบ่งกรุงเบอร์ลินออกเป็นสองส่วนคือตะวันออกและตะวันตก ด้านบนมีรูปปั้นชื่อ Quadrigaสูง 5เมตร มีราชินีแห่งชัยชนะ (Siegesgoettin Viktoria)ควบขับรถเทียมม้า 4 ตัว มุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของเบอร์ลิน  ในมือถืออิสริยาภรณ์กางเขนเหล็กกับพวงมาลัยใบมะกอกและ นกอินทรีซึ่งเป็นสัตว์ที่แสดงอำนาจของยุคปรัสเซียร์ (Preussen/Prussia)


พระราชวังชาล็อตเทนเบิร์ก (Schloss Charlottenburg)
พระราชวังอันสวยงาม เดิมเป็นที่ประทับฤดูร้อนในสมเด็จพระราชินีโซเฟียชาล็อต สร้างปลาย ศตวรรษที่ 17 และมีการต่อเติมเรื่อยมาในศตวรรษที่ 18 เดิมมีชื่อว่า Lietzenburg เป็นพระราชวัง สำหรับฤดูร้อนของพระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 1 ต่อมาเมื่อพระราชินีคือพระนางโซเฟีย ชาล็อตสวรรคตลง จึงเปลี่ยนชื่อพระราชวังตามชื่อของพระนางเพื่อเป็นการรำลึกถึง นางฟ้าบนยอดปราสาทหมุนได้ ตามแรงลม ดังนั้นแต่ละวันเธอจะหันหน้าไปคนละทิศกัน เชื่อว่าถ้าเธอหันหน้ามาทางทิศที่เราอยู่จะ โชคดี หรือไม่ก็เดินหามุมไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอเอง


อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ (Siegessaeule) 
สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคปรัสเซีย  เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการต่อต้านพวกเดนมาร์ก ในปี1864 ออสเตรีย ในปี 1866 และฝรั่งเศส ในปี 1870-71  เป็นเสาสูงประมาณ 69 เมตร  ออกแบบก่อสร้างโดย J.H.Strack  ระหว่าง ค.ศ.1865-73 แต่ชาวเบอร์ลินมักจะเรียกสถานที่นี้ว่า Golde Else หรือ Victoria แห่งเบอร์ลิน  บนยอดเสาคือรูปปั้นของวิคตอเรีย (Victoria)เทพีแห่งชัยชนะ ถือพวงมาลัยจากใบมะกอก (สัญลักษณ์ของชัยชนะ) กับหอก  รูปปั้นนี้หนัก 35 ตัน สูง 8 เมตร มีบันได 285 ขั้น  สามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้  บริเวณนี้ทั้งหมดเรียกว่า Grosser Stern แปลว่าดาวดวงใหญ่ เพราะมีถนนห้าสายใหญ่มาบรรจบกันที่อนุสาวรีย์นี้ ถ้ามองจากข้างบนลงมาจึงดูคล้ายรัศมีของดาวที่เป็นแฉก นอกจากนี้บริเวณนี้ยังใช้เป็นที่จัดงาน Loveparadeหรือ Techno-Party อีกด้วย



เมืองพอตสดัม (POTSDAM) 
อีกหนึ่งเมืองสวยของอดีตเยอรมันตะวันออก ซึ่งถูกซ่อนเก็บไว้หลังกำแพง ความแตกแยก
มากว่า 40 ปี



สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
พระราชวังซองส์ ซูซี (SANS SOUCI)
ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส ในความหมายว่า “ไร้กังวลหรือไกลกังวล” ซึ่งมีความงดงามไม่แพ้พระราชวัง แวร์ซายส์ เป็น​ที่ประทับฤดูร้อนของ​พระมหากษัตริย์ (ไร้กังวลหรือไกลกังวล) นี้​ได้กลาย​เป็นมรดกโลก ภายใต้การคุ้มครอง ขององค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ​และมีหน่วยงานด้านการดูแลพิพิธภัณฑ์คอยบำรุงรักษา ปัจจุบันนี้มีคน เข้าเยี่ยมชมมากกว่าปีละ ๒ ล้านคนจากทั่วโลก คฤหาสน์ไกลกังวลนี้​เป็น​พระราชวังฤดูร้อน ของ​พระเจ้า เฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซียค่ะ​หาก​จะเปรียบเทียบก็ประมาณว่า ​เป็นคู่แข่ง​กับ​พระราชวังแวร์คซายส์ เห็น​จะ​ได้ ​แต่คฤหาสน์ไกลกังวลนี้ขนาด​จะเล็กกว่ามาก ผู้ออกแบบ​คือ Georg Wenzeslaus von Knobelsdorff ตาม​พระบัญชาของเฟรเดริคมหาราช​ที่ทรงประสงค์​จะมี​ที่พักผ่อนอันสงบจากงานพิธีในกรุงเบอร์ลิน ​พระราชวังหลังนี้ใหญ่กว่าวิลล่าขนาดใหญ่สองชั้นไม่มากนัก ​และมีห้องหลัก ๆ​ แค่ ๑๐ ห้อง ​แต่ปลูกสร้างบนเนิน​ที่ทำ​เป็นเทอร์เรซไล่เลียงลงเนิน​ไปตามลำดับ




มหาวิหารโคโลญจน์ (Cologne Cathedral หรือ Kolner Dom) สร้างสำเร็จพร้อมกับมีพีธีวางหลักหินบันทึกข้อมูลการก่อสร้าง (foundation stone) โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1791แต่มีปัญหาให้ต้องหยุดพักการก่อสร้างไปบ้าง จึงต้องใช้เวลากว่าหกร้อยปีจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ มหาวิหารโคโลญจน์เป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก นับเป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น (แม้ปัจจุบันก็ยังติดอันดับ ของโลกลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิก(Gothic) เป็นหอคอยแฝดสูง 157เมตร กว้าง 86 เมตร ยาว 144 เมตร สร้างเพื่ออุทิศให้ นักบุญปีเตอร์(Saint Peter) และ พระแม่มารี (Blessed Virgin Mary) ปัจจุบันมหาวิหารโคโลญจน์นับจุดหมายสำคัญของเมืองโคโลญจน์และประเทศเยอรมนี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 1996


สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
จัตุรัสโรเมอร์ 
ที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ความสำคัญของที่แห่งนี้มี เดอะไคเซอร์ซาล หรือห้องจักรพรรดิที่มีการฉลองพิธีการสวมมงกุฎอันยิ่งใหญ่ ตรงกลางจัตุรัสเป็น น้ำพุแห่งความยุติธรรมด้านหน้าเป็นบ้านโครงไม้สมัยกลางที่ได้รับการบูรณะแล้ว











ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.qetour.com/travel-guide/germany-travel-guide.php

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย


วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยที่สำคัญมีดังนี้

1. ด้านการทหาร เป็นวัฒนธรรมตะวันตกแรก ๆ ที่คนไทยรับมาตั้งแต่อยุธยา โดยซื้ออาวุธปืนมาใช้ มีการสร้างป้อมปราการตามแบบตะวันตก เช่น ป้อมวิไชยประสิทธิ์ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ออกแบบโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการจ้างชาวอังกฤษเข้ามารับราชการเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทหาร มีการตั้งโรงเรียนนายร้อย การฝึกหัดทหารแบบตะวันตก

2. ด้ารการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีชนชั้นนำจำนวนหนึ่ง เช่น พระอนุชาและขุนนางได้เรียนภาษาอังกฤษและวิทยาการตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงจ้างครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษและความรู้แบบตะวันตกในราชสำนัก
     ในสมัยรัชการลที่ 5 มีการตั้งโรงเรียนแผนใหม่ ตั้งกระทรวงธรรมการขึ้นมาจัดการศึกษาแบบใหม่ ทรงส่งพระราชโอรสและนักเรียนไทยไปศึกษาที่ประเทศต่าง ๆ เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงเรียนกฎหมาย ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับและการตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3. ด้านวิทยาการ เช่น ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์จนสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้อง ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งเริ่มในสม้ยรัชกาลที่ 3 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียนฝึกหัดแพทย์และพยาบาล ความรู้ทางการแพทย์แบบตะวันตกนี้ได้เป็นพื้นฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขไทยในปัจจุบัน
     ด้านการพิมพ์ เริ่มจากการพิมพ์หนังสือพิมพ์รายปักษ์ภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2387 ชื่อ "บางกอกรีคอร์เดอร์" การพิมพ์หนังสือทำให้ความรู้ต่าง ๆ แพร่หลายมากขึ้น ในด้านการสื่อสารคมนาคม เช่น การสร้างถนน สะพาน โทรทัศน์ โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป รถยนต์ รถไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่คนไทยเป็นอย่างมาก

4. ด้านแนวคิดแบบตะวันตก การศึกษาแบบตะวันตกทำให้แนวคิดทางการปกครอง เช่น ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ สาธารณรัฐแพร่เข้ามาในไทย และมีความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นอกจากนี้ วรรณกรรมตะวันตกจำนวนมากก็ได้มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนรูปแบบการประพันธ์จากร้อยกรองเป็นร้อยแก้ว และการสร้างแนวคิดใหม่ ๆ ในสังคมไทย เช่น การเข้าใจวรรณกรรมรูปแบบนวนิยาย เช่น งานเขียนของดอกไม้สด ศรีบูรพา


5. ด้านวิถีการดำเนินชีวิต การรับวัฒนธรรมตะวันตกและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาใช้ ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป เช่น การใช้ช้อนส้อมรับประทานอาหารแทนการใช้มือ การนั่งเก้าอี้แทนการนั่งพื้น การใช้เครื่องแต่งกายแบบตะวันตกหรือปรับจากตะวันตก การปลูกสร้างพระราชวัง อาคารบ้านเรือนแบบตะวันตก ตลอดจนนำกีฬาของชาวตะวันตก เช่น ฟุตบอล กอล์ฟ เข้ามาเผยแพร่ เป็นต้น

(น้ำทิพย์   ทองเพ็ง)


วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ศิลปวัฒนธรรมตะวันตก


วันนี้ขอแนะนำศิลปตะวันตกยุคหลัง

ลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ถึงหลังสงครามโลกครั้งที่1

1.ศิลปะลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) 

          Fauvism มาจากคำว่า Les Fauves เป็นภาษาฝรั่งเศส มีความหมายว่า “สัตว์ป่า” เป็นลัทธิทางศิลปะที่มีจุดเริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศส โดยมี Henri Matisse เป็นหัวหน้าลัทธิ ผลงานของลัทธินี้โดดเด่นที่การใช้สีสด รุนแรง ในการสื่อความหมายทางอารมณ์ มีทั้งการใช้คู่สีตรงข้ามมาอยู่ด้วยกัน หรือมีหลายสิบสีในภาพเดียวกัน สร้างความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่ให้แก่ผู้ที่ได้ชม
1. ผลงานมีรูปทรงอิสระ สร้างขึ้นตามสัญชาติญาณ แห่งการแสดงออกอย่างเต็มที่ งานจะ ปรากฏความสนุกสนาน ในลีลาของรอยแปรงและจังหวะของสีต่าง ๆ
2. มีการตัดเส้นรอบนอกของสิ่งต่าง ๆ เพื่อเน้น ให้เด่นชัดมีรูปแบบง่าย ๆ เรียบ ๆ ต้องการ แสดงทั้งรูปทรง และแสงเงาไปพร้อมกัน
3. นิยมใช้สีตัดกันรุนแรง แต่มีความประสานสัมพันธ์กัน โดยส่วนรวม เช่น ใช้สีเขียว สีส้ม สีน้ำเงิน สีแดง และสีม่วง เป็นต้น
4. ให้ความสำคัญในเรื่องสี และการแสดงออกของอารมณ์มากกว่าความถูกต้อง เหมือนจริงในธรรมชาติ
5. ผลงานมีลักษณะเป็นแบบสัญลักษณ์ มากกว่า เรื่องเกียวกับศีลธรรมปรัชญา หรือความคิด ทางการเมือง และทางสังคม


ภาพวาด"Portrait of Madame Matisse" โดย มาทิสส์ (Henri Matiss)   



“Dance” จิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบ โดย มาทิสส์ (Henri Matiss)

2.ศิลปะลัทธิเอ็กเพรสชั่นนิสม์ หรือ ลัทธิแสดงพลังอารมณ์ Expressionism

        ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่กลุ่มโฟวิสม์ อุบัติขึ้นที่ฝรั่งเศสและเยอรมัน ก็มีกลุ่มเอ็กซเพรสชั่นนิสม์เกิดขึ้นมาใหม่เหมือนกัน โดยศิลปินกลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลแนวคิด คตินิยมจาก ฟาน กอห์ก และ โกแกง โดยตรงนั่นคือการแสดงออกถึงอารมณ์ภายในอันเร้าร้อนรุนแรง การใช้สีและการตัดเส้นรอบนอก เพื่อให้รูปทรงเด่นชัดและแข็งกร้าว พวกเขาสะท้อนแนวคิดที่เกี่ยวกับสังคม การเมือง แสดงความสกปรก ความหลอกลวง ความเลวร้ายของสังคม ต่างจาก โฟวิสม์ ซึ่ง พวกเขาคิดว่า ศิลปกรรมของยุโรปโดยทั่วไปมีแนวโน้มการแสดงออกไปในด้านที่หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริง ศิลปินต่างเสแสร้งและปิดบังโลกแห่งความเป็นจริง คำนึงถึงความงามแต่อย่างเดียว ทำให้มันดูสง่าเป็นของเข้าใจยาก ศิลปินทั้งสองกลุ่มไม่ได้ยึดแนวทางดั้งเดิม เรียกว่า พวกเขามีความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อ ความงามทางศิลปะก็ว่าได้ แล้วหันมาเสนองานที่กล้าเผชิญหน้าตรงๆระหว่างโลกและมนุษย์แต่การแสดงออกของทั้งสองกลุ่มก็มีแนวทางแตกต่างกัน โฟวิสม์ ใช้อารมณ์สร้างรูปแบบส่วนเอ็กซเพรสชั่นนิสม์ปล่อยให้รูปแบบแสดงอารมณ์ พวกเอ็กซเพรสชั่นนิสม์แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
        กลุ่มแรก เรียกว่า กลุ่ม สะพาน (the Bridge)เป็นศิลปินวัยหนุ่ม ชอบแสดงศิลปะที่สะท้อนความสับสนของสังคม เมือง เศรษฐกิจ เพศ และศาสนา แสดงความสกปรกของสังคม ความเหลวแหลก ความหลอกลวงด้วยสีรุนแรงดังภาพของเอนเซอร์และภาพการเต้นรำชีวิตของมุงค์ แสดงภาพสะท้อนศาสนา ด้วยความรู้สึกโหดร้าย น่าเกลียด ขยะแขยง แสดงความรัก ความใคร่ ความตาย เพื่อเตือนให้สังคมตระหนักใน ความไม่แน่นอน แสดงภาพส่วนใหญ่หนักไปทางจิตวิทยาและสังคม 
        กลุ่มที่สอง ชื่อว่า กลุ่ม ม้าสีน้ำเงิน (the Blue Rider) แสดงความรู้สึกสนุกสนาน ร่าเริง ด้วยการใช้เส้นและลีลาของสี ศิลปินในกลุ่มนี้มีมาร์ค (1880-1916)และวาสสิลี่  แคนดินสกี้  (Wassily Kandinsky 1866-1944) แต่ที่น่าเสียดายที่มาร์คต้องตายเสียก่อน ในการรบที่เวอร์ตัน ส่วนแคนดินสกี้ แสดงผลงานต่อไป และเป็นริเริ่มแนวการเขียนแบบ แอ๊บสแตรก อาร์ท


“ชีวิตบนถนน” โดย Kirchner



“หอม้าสีน้ำเงิน” โดย Franz Marc

3.ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ Cubism Art


          ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ (Cubism Visual Art) เป็นลัทธิที่ปฏิรูปศิลปะให้แตกต่างจากสิ่งที่เคยมีมา จากคำพูดของเซซานที่ว่า ถ้าจะเข้าใจรูปทรงภายนอก จงมองรูปทรงเหล่านั้นเป็นเหลี่ยมเป็นลูกบาศก์ง่าย ๆ คำกล่าวและการกระทำของเซซาน จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสร้างสรรค์งานเกี่ยวกับรูปทรงใหม่ในกลุ่มนี้ ผู้ที่ริเริ่มนำแนวความคิดนี้มาใช้ในงานจิตรกรรมอย่างจริงจัง คือ ปิคัสโซ (Picasso) และบร๊าค (Braque)

           สุนทรีภาพและรูปแบบงานจิตรกรรมลัทธิคิวบิสม์ ได้แก่
                   1. ส่วนใหญ่เป็นรูปทรงเรขาคณิต
                   2. เป็นภาพที่เกิดจากการตัดทอน
                   3. รูปทรงส่วนใหญ่เป็นแบบเรขาคณิต เป็นลูกบาศก์ จึงเป็นชื่อของคิวบิสม์
                   4. แสดงเรื่องราวของชีวิตยุ่งเหยิงด้วย รูปทรง สี และรูปร่าง
                   5. แสดงมิติ ด้วยรูปทรง ขนาด การซ้อนกัน บังกัน โปร่งใส คล้ายภาพเอกซเรย์
                   6. รูปแบบกึ่งนามธรรม คือ มีตัวตนและไม่มีตัวตนให้ชัดเจน
           สาเหตุการสร้างงานศิลปะลัทธิคิวบิสม์ คือ
                   1. ตอบสนองด้านจิตใจและอารมณ์  ของผู้สร้างและผู้ชมโดยเปิดโอกาสให้ผู้ชมคิดอย่างเสรีภาพและใช้ปัณณาพินิจพิจารณาด้วยตนเอง
                   2. เชื่อในสิ่งที่เห็นทุกอย่างของรูปทรงสามารถมองได้หลายๆด้านเป็นเหลี่ยมปริมาตร
           ศิลปินกลุ่มคิวบิสม์มีอยู่มากมาย แต่จะกล่าวเพียง คน เพราะมีผลงานเป็นเครื่องยืนยันมากว่าผู้อื่น
                   1. ปิคัสโซ (Picasso) ค.ศ. 1881 – 1973 เป็นผู้นำกลุ่มชาวสเปนที่ได้แนวทางจากกลุ่มโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ จึงได้นำมาปรับปรุงตัดทอนจนได้แนวความคิดที่ว่า จงมองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเหลี่ยมหรือลูกบาศก์
                   2. บร๊าค (Braque) จิตรกรชาวฝรั่งเศส รู้จักปิคัสโซ ปี ค.ศ. 1908 และเริ่มต้นศิลปะในแนวทางเดียวกันกับปิคัสโซ
           สาเหตุการสร้างงานศิลปะลัทธิคิวบิสม์ คือ
                   1. ตอบสนองด้านจิตใจและอารมณ์  ของผู้สร้างและผู้ชมโดยเปิดโอกาสให้ผู้ชมคิดอย่างเสรีภาพและใช้ปัณณาพินิจพิจารณาด้วยตนเอง
                   2. เชื่อในสิ่งที่เห็นทุกอย่างของรูปทรงสามารถมองได้หลายๆด้านเป็นเหลี่ยมปริมาตร
           ศิลปินกลุ่มคิวบิสม์มีอยู่มากมาย แต่จะกล่าวเพียง คน เพราะมีผลงานเป็นเครื่องยืนยันมากว่าผู้อื่น
                   1. ปิคัสโซ (Picasso) ค.ศ. 1881 – 1973 เป็นผู้นำกลุ่มชาวสเปนที่ได้แนวทางจากกลุ่มโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ จึงได้นำมาปรับปรุงตัดทอนจนได้แนวความคิดที่ว่า จงมองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเหลี่ยมหรือลูกบาศก์
                   2. บร๊าค (Braque) จิตรกรชาวฝรั่งเศส รู้จักปิคัสโซ ปี ค.ศ. 1908 และเริ่มต้นศิลปะในแนวทางเดียวกันกับปิคัสโซ
            ศิลปินกลุ่มคิวบิสม์มีอยู่มากมาย แต่จะกล่าวเพียง คน เพราะมีผลงานเป็นเครื่องยืนยันมากว่าผู้อื่น
                   1. ปิคัสโซ (Picasso) ค.ศ. 1881 – 1973 เป็นผู้นำกลุ่มชาวสเปนที่ได้แนวทางจากกลุ่มโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ จึงได้นำมาปรับปรุงตัดทอนจนได้แนวความคิดที่ว่า จงมองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเหลี่ยมหรือลูกบาศก์
                    2. บร๊าค (Braque) จิตรกรชาวฝรั่งเศส รู้จักปิคัสโซ ปี ค.ศ. 1908 และเริ่มต้นศิลปะในแนวทางเดียวกันกับปิคัสโซ



"สุภาพสตรีแห่งเมืองอาวิญง" โดย ปีคัสโซ




“House at L’Estaque” 1908โดย จอร์จ บราค (Georges Braque)  


4.ศิลปะลัทธินามธรรม Abstractionism Art

     ศิลปะนามธรรม(Abstractionism Art) เป็นกลุ่มศิลปะหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ตรงกับภาษาว่า นามธรรม เป็นศิลปะแบบใช้ความนึกคิด มีแต่องค์ประกอบของเส้น สี รูปร่าง พื้นผิว ส่วนรูปทรงถูกตัดทอนเหลือแกนแท้ของโครงสร้างเท่านั้น แบบอย่างที่นำมาของศิลปินกลุ่มนี้ ได้แก่ โครงสร้างของงาน เซซาน ที่ใช้สีสันเป็นอิสระและของแวนก๊อก ที่แสดงงรูปทรงอันบิดเบี้ยวในการให้เส้นพร้อมกับงานของโกแกง สุดท้ายเป็นการสังเคราะห์รูปทรงและสี ในงานกลุ่มคิวบิสม์ของปิกัสโซ ที่ลดสกัดตัดทอนรูปทรงจากสิ่งที่มองเห็น
         สุนทรียภาพและรูปแบบของงานจิตรกรรมและภาพพิมพ์ลัทธินามธรรมได้แก่
1. แสดงรูปร่างมากกว่ารูปทรง ส่วนใหญ่จะเป็นรูปร่างอิสระ เป็นรูปทรงไม่แน่นอนมองมรู้เรื่อง ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นผลงานของชาติใดเป็นแบบสากล
2. คำนึงถึงเส้น และสีเฉย ๆ ไม่แสดงเรื่องราวแน่ชัด การถ่ายทอดทางการรับรู้
3. เรื่องราวใช้สี เส้น รูปร่าง แทนความรู้สึกของศิลปินเอง ไม่คำนึงถึงผู้ดู
4. ตัดทอนสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในรูปร่างหรือรูปทรงง่าย ๆ เหลือเพียงโครงสร้างแท้หรือโครงสร้างภายในและภายนอก
5. รูปที่นำมาแสดงไม่ใช่เรื่องราวที่แน่นอน เป็นเพียงสื่อให้ผู้ดูคิดเท่านั้น
6. รูปแบบนามธรรม คือ ไม่มีตัวตนให้เห็นว่าเป็นรูปทรงอะไร ประเภทใด   
           สุนทรียภาพและรูปแบบงานประตมากรรมลัทธินามธรรม ได้แก่
1. ใช้รูปทรงอิสระเป็นลักษณะสากลที่ไม่บ่งบอกว่าเป็นผลงานของชาติใด
2. ถ่ายทอดทางการรับรู้ เรื่องพื้นผิวของงานตามถนัดและความต้องการของศิลปิน
3. เรื่องราวรูปทรง คือ สื่อให้ผู้ดูคิดอย่างอิสระจะคิดอย่างไรก็ได้ตามเหตุผลที่จะคิดถูกหรือผิดไม่ใช่เครื่องชี้วัด
สาเหตุการสร้างงานศิลปะลัทธินามธรรม ได้แก่ 
      1. สนองด้านจิตใจ คือ ความงาม มากกว่าเรื่องราว
      2. แคนดินสกี้ (Kandinsky) ค.ศ. 1866 จิตรกรชาวรัสเซียผู้นำกลุ่มก่อนที่จะมาทำงานในแนว
          นี้เคย ทำงานตามแนวความเชื่อกลุ่มเอ็กซเพรสชั่นนิสม์มาก่อน
      3. ดีออง (Mondrian) ค.ศ 1872 จิตรกรชาวฮอลแลนด์ความเชื่อในความรู้สึกของผู้สร้างเป็น
          ใหญ่มากกว่าผู้ชมและส่งเสริมให้ผู้ชมรู้จักคิดเมื่อชมงานศิลปะ


            ศิลปินที่มีชื่อในลัทธินามธรรม ซึ่งเป็นรูปแบบที่เข้าสู่ยุคศิลปะสมัยใหม่อย่างแท้จริงมีดังนี้
                  1. ทำงานตามแนวความเชื่อกลุ่มเอ็กซเพรสชั่นนิสม์มาก่อน
                  2. วิลอง (Villon) ชาวฝรั่งเศสนิยมวาดรูปแบคิวบิสม์ผสมแอบสแตรก



 "แผนดีดำ" โดย แคนดินสกี้"



Broadway Boogie Woogie"  โดยพิเอ้ท มองเดรียน (Piet Mondrian)



5.ศิลปะลัทธิฟิวเจอริสม์ Futurism Art

         ลัทธิฟิวเจอริสม์ (Futurism) เป็นศิลปะที่เกิดขึ้นในประเทศอิตาลี โดยศิลปินชาวอิตาเลียน  แนวคิดของศิลปะไม่เกี่ยวกับเรื่องสตรีเพศ ไม่สนใจภาพเปลือย  ความงามที่ถือว่าเป็นแนวทางการทํางานของลัทธินี้ คือ เรื่องของความเร็ว วิทยาศาสตร์ เทคนิควิชาการต่างๆ  ศิลปินลัทธิฟิวเจอร์ริสม์นี้ ไม่เห็นด้วยกับความคิดเฟ้อฝัน หรือการหยุดนิ่งอยู่กับที่ จะมีแรงบันดาลใจเกี่ยวกับความงามจากเครื่องไฟฟ้า รถยนต์ หรือเครื่องบิน นอกจากนี้ยังยึดหลัก 2 ประการ คือ ความเคลื่อนไหวของร่างกายในอวกาศ และความเคลื่อนไหวของวิญญานในร่างกาย  หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นศิลปะที่ยึดเอาทฤษฎี เกี่ยวกับพลังความเคลื่อนไหวที่รุนแรง โดยได้แสดงออกมาด้วยวิธีเขียนภาพที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ความอึกทึกครึกโครม ความสับสน อลหม่าน 
               ศิลปินที่สำคัญ เช่น  คาร์โล คาร์รา (Carlo Carra, ค.ศ. 1881-1966)  อุมแบร์โต บ็อคโชนี (Umberto Boccioni, ค.ศ. 1882-1916)  จิอาโคโม แบลลา (Giacomo Balla July 18, 1871 - March 1, 1958) เป็นต้น


" Horse and Rider or Red Rider"    
โดยคาร์โล คาร์รา (Carlo Carra) 



"Dynamism of a Dog on a Leash" 
ดย Giacomo Balla




อ้างอิงจาก

7สิ่งมหัศจรรย์ของโลกมีอะไรบ้าง???


สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

          เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ สิ่งมหัศจรรย์ยุคกลาง สิ่งมหัศจรรย์ยุคปัจจุบัน
สิ่งมหัศจรรย์บางสิ่งของโลกถูกสร้างโดยมนุษย์ ซึ่งบางอย่างก็มีหลักฐานในการสร้างว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างไร แต่บางอย่างก็ไม่มีหลักฐานในการสร้างว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างไร เช่น กองหินสโตนเฮนจ์ ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในยุคกลาง กองหินสโตนเฮนจ์เกิดจากหินหลายสิบตันมาวางในลักษณะรูปร่างที่แปลกตา ซึ่งหินหนักหลายสิบตันในสมัยก่อนยังไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการยกหรือรับนำหนักได้มากขนาดนี้ เป็นต้น สิ่งมหัศจรรย์ในแต่ละยุคมีความสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ แต่สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณเสื่อมสลายลงไปหมดแล้ว คงเหลือแต่พีระมิดในประเทศอียิปต์
การจัดแบ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรม สามารถแบ่งได้เป็น 3 ยุค คือ
          1. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
          2. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
          3. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน

1. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ (ตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 500)

        ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง ยุคโบราณเป็นผลงานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในประเทศอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณและยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ อันได้แก่

1. พีระมิดแห่งเมืองกิเซห์ (ตั้งอยู่ที่ เมืองกิเซห์ ประเทศอียิปต์)
         พีระมิดเป็นที่เก็บพระศพของกษัตริย์อียิปต์ในสมัยโบราณ ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ห่างไปทางตอนใต้ของเมืองอเลกซานเดรีย ประมาณ 160 กิโลเมตร สร้างด้วยหินเป็นรูปกรวยเหลี่ยม เมื่อประมาณ 3500 ปี ก่อนคริสตกาล กินเนื้อที่ในบริเวณพีระมิด 131 เอเคอร์ พีระมิดนี้ สูงถึง 147 เมตร ฐานกว้างด้านละ 230 เมตร ใช้ก้อนหินในการก่อสร้าง 2500000 ก้อน หนักก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน รวมน้ำหนักกว่า 6,000,000 ตัน มีการเตรียมการสร้างถึง 10 ปี ใช้กรรมกรก่อสร้างประมาณ 100000 คน มาใช้แรงงานถึง 20 ปี เพื่อสร้างพีระมิดดังกล่าวให้สำเร็จจนลุล่วง ปัจจุบันส่วนยอดของพีระมิดทรุดโทรมลงจนมีความสูงเพียง 137 เมตร

พีระมิดแห่งเมืองกิเซห์

2.  มหาวิหารอาร์เทมีส (ตั้งอยู่ที่ เมืองเเอเฟซัส ประเทศตุรกี)
     เป็นวิหารสร้างด้วยหินอ่อน เลียบแบบศิลปะแบบกรีก เพื่อถวายเทพเจ้าอาร์เทมีส (เทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ของกรีก) ผู้มาจากสวรรค์ ผู้ช่วยชาวเมืองให้พ้นจากหายนะและภัยพิบัติได้ อยู่ในเมืองอีเฟซุสบนชายฝั่งแห่งหนึ่งปัจจุบันนี้ คือประเทศตุรกี ในรัชสมัยของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์แห่งกรีก จัดเป็นวัดที่สวยงามแห่งหนึ่งจนกลายเป็นที่รู้จักว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคเก่า
         วิหารนี้มีเนื้อที่ถึง 54,720 ตารางฟุต ตัวอาคารมีความกว้างถึง 400 ฟุต บริเวณโดยรอบวัดแห่งนี้กิน เนื้อที่เกือบ 2 เอเคอร์ และมีเสาหินตั้งตระหง่านรอบตัวอาคารมากกว่า 100 เสาหิน แต่ละเสาหินมีเส้นผ่านศุนย์กลาง 6 ฟุต ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในโบสถ์เป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าชื่อว่า อาร์ทิมีส หรืออีกชื่อหนึ่ง ว่าไดอาน่า ประชาชนจะนำสิ่งของมาสักการะบูชา ส่วนมากเป็นสิ่งของมีค่ามากมาย
        เคยถูกไฟไหม้เสียหายครึ่งหนึ่งแต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่โดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ วิหารแห่งนี้ได้ถูก ทำลายสิ้นก่อนปี ค.ศ. 262 จึงเหลือแต่ซากปรักหักพังเก็บไว้ชมอยู่ในกรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี


มหาวิหารอาร์เทมีส 


3.  สุสานของกษัตริย์โมโซลุส (ตั้งอยู่ที่ มืองฮาลคาร์นาซัส ประเทศตุรกี)
         สุสานของโมโซลุสหรือสถานที่เก็บพระศพของพระเจ้าโมโซลุสกษัตริย์แห่งเอเซียไมเนอร์ ซึ่งพระนางเตมีเซีย บรมราชินีได้ขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชสวามีและได้เป็นผู้สร้างขึ้นไว้เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของพระราชสวามี ที่เมืองซาเรีย (เมืองฮาลคาร์นาซัสในปัจจุบัน)โดยใช้ช่างออกแบบ ฟิดิอัส ซาติรัส บรายอาซีส สโคปาส ทิโมทิอัส ที่มีชื่อเสียง ฝีมือเยี่ยมในกรีก ทั้งหมดมาช่วยกันสร้างด้วยหินอ่อน แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จพระนางก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน สร้างเมื่อประมาณ 352 ปีก่อนคริสตกาล มีความสูง 140 ฟุต วัดฐานโดยรอบยาว 111 ฟุต แบ่งเป็น 5 ชั้น บนยอดมีรูปปั้นโมโซลุส ประทับบนราชรถเทียมด้วยม้า

ภาพ:เมาโซเลอุม.jpg

สุสานของกษัตริย์มอโซลุส

4.  สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน(ตั้งอยู่ที่  กลางทะเลทราย เมืองแบกแดด ประเทศอิรัก)
        สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลนนี้ กินเนื้อที่ 4 เอเคอร์สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 63 โดยพระเจ้าเนบูชาดเนสซาร์ที่ 2 กษัตริย์แห่งเปอร์เซียหลังจากการพิชิตปราบปรามเมืองใกล้เคียงมาอยู่ในอำนาจ แล้วก็กวาดต้อนประชาชนพลเมือง มาใช้เป็นทาสให้สร้างสวนลอยนี้ขึ้นบนทะเลทราย มีกำแพงดินกั้นล้อมรอบและประกอบด้วยลานกว้างๆเป็นหลายๆส่วนบนพื้นที่โค้ง มีความสูงมากและปลูกต้นไม้ ดอกไม้สีสันสดใสสร้างสระน้ำสีต่างๆทำน้ำตก น้ำพุ โดยทำท่อเอาน้ำมาจากลุ่มแม่น้ำยูเฟตีส สวนลอยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประพาส หย่อนพระทัยของพระมเหสีเซมีรามีส

ภาพ:Hangingardens.gif

สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน

5.  เทวรูปโคโลสซูส(ตั้งอยู่ที่  กาะโรดส์ ประเทศกรีก)
        เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของพระอาทิตย์หรือรูปหล่อของพระเจ้าอปอลโล หล่อด้วยทองบรอนซ์ ในท่ายืน สูง 100 ฟุตโดยเฉพาะฐานที่รองรับรูปหล่อนั้นสูงกว่าตึก 5 ชั้น พระหัตถ์ขวาถือดวงประทีป ตั้งอยู่หน้าเมืองโรดส์ประเทศกรีก สร้างโดยกษัตริย์แชรัสแห่งลินดัส เชื่อกันว่าเป็นรูปปั้นที่คอยกั้นอ่าวของเกาะแห่งนี้ของกรีกในทะเลเอเจียน สร้างเสร็จหลังจากใช้เวลา 12 ปี แล้วเสร็จเมื่อประมาณ 280 ปีก่อนคริสตกาล และต้องพังทลายลง เพราะแผ่นดินไหว ถูกทอดทิ้งเป็นเวลา 900 ปี จึงถูกขายเป็นเศษเหล็ก ให้แก่ชาวเมืองซาราเซน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสงคราม


เทวรูปโคโลสซูส

6.  เทวรูปซีอุสที่โอลิมเปีย(ตั้งอยู่ที่ เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก)
        เทวรูปซีอุส ตั้งอยู่ในวิหารโอลิมเปีย ประเทศกรีก เป็นเทวรูปของ ซีอุส ลักษณะประทับอยู่บนบัลลังก์ทอง ซึ่งแกะสลักโดยช่างที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นมีชื่อว่า ฟีดีอัส ประมาณศตวรรษที่ 5 โดยกล่าวกันว่า ตัวเทพซีอูส แกะสลักด้วยงาช้าง สูง 40 ฟุต พระหัตถ์ซ้ายทรงคธา พระหัตถ์ขวารองรับรูปปั้นแห่งชัยชนะ มีเครื่องประดับกายทำด้วยทองคำล้วนๆ นับว่าเป็นเทวรูปแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดและถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชา ของชาวกรีก


 เทวรูปซีอุส 

7.  ประภาคารฟาห์โรห์(ตั้งอยู่ที่ กาะฟาห์โรห์ เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์)
        ประภาคารฟาห์โรห์ ตั้งอยู่บนเกาะฟาห์โรห์ในอ่าวหน้าเมืองอเลกซานเดรีย สร้างเมื่อประมาณ 280 ปี ก่อนคริสตกา โดยพระเจ้าปโตเลมีที่ 2 กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่สังเกตแก่ชาวเรือที่จะเข้าเมืองท่าอียิปต์ สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสลักลวดลายวิจิตรงดงาม สูงประมาณ 400 ฟุต บนยอดมีตะเกียงจุดไฟแก๊สขนาดใหญ่ ในสมัยนั้นอียิปต์เป็นประเทศที่เจริญในวิทยาการต่างๆใครๆก็ชอบที่จะติดต่อทำการค้าด้วย เหตุนี้จึงต้องสร้างประภาคารขึ้นจุดตะเกียงแก๊สตลอดทั้งคืน เพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยเดินเรือใช้เป็นที่สังเกตจะได้ไม่หลง นอกจากนั้นแล้ว ยังใช้เป็นหอคอยไว้ดูข้าศึกที่จะมารุกรานอีกด้วย หลังจากเกิดแผ่นดินไหว ประภาคารนี้ก็พังทลายลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 955 และถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในช่วงศตวรรษที่ 14


ประภาคารฟาห์โรห์ 




2.สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง(ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 5 - 16)

        สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ถูกจัดขึ้นและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลายในเวลาต่อมา หลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณแทบทั้งหมด ยกเว้นพีระมิดล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปแล้วทั้งสิ้น คงเหลือแต่เพียงร่องรอยหลักฐานหรือแบบจำลองให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเท่านั้น อันได้แก่

1. หอเอนเมืองปิซา (ตั้งอยู่ที่ ประเทศอิตาลี)
          หอเอนแห่งเมืองปิซา สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 ไปเสร็จในปี ค.ศ. 1350 ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก พอสร้างเสร็จฐานก็ทรุดลงไปข้างหนึ่ง ทำให้เอียงออกไปจากเส้นดิ่ง 4 เมตร แต่ที่ไม่ล้มลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ และหอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จ


หอเอนแห่งเมืองปิซา


2.  สนามกีฬาแห่งกรุงโรม (ตั้งอยู่ที่ ประเทศอิตาลี)
         สนามกีฬาแห่งกรุงโรม   เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน  และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus)  ในคริสต์ศตวรรษที่  1 หรือ   ประมาณปี ค.ศ. 80   อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ  527  เมตร  สูง  57  เมตร  สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ  50,000  คน  ใต้อัฒจรรย์มีห้องใต้ดินที่สร้างขึ้นเพื่อขังสิงโตและนักโทษประหาร   ก่อนปล่อยให้ออกมาต่อสู้กันกลางสนาม   นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่ประลองฝีมือของเหล่าอัศวินในยุคนั้น   ปัจจุบันยังคงเหลือโครงสร้างเกือบสมบูรณ์ตั้งเด่นเป็นโบราณสถานที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก





สนามกีฬาแห่งกรุงโรม

3.  สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย(ตั้งอยู่ที่ เมืองอเลกซานเดรีย ประเทศอียิปต์)
          สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย   มีชื่อเรียกว่า  คาตาโกมบ์   ตั้งอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย   ประเทศอียิปต์ เป็นสุสานฝังศพใต้ดินของกษัตริย์อียิปต์โบราณ   ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง เป็นสุสานของใคร   และสร้างเมื่อใด   ลักษณะของสุสานไม่เหมือนกับปีรามิดคือจัดสร้างเป็นอุโมงค์ใต้ดินขุดลึกเข้าไปในภูเขาหินทราย   ทำเป็นชั้นๆ   และมีช่องทางเดินกว้างประมาณ 3-4 ฟุตวกเวียนไปมาเป็นระยะทางหลายไมล์ภายในอุโมงค์บางตอนตกแต่งอย่างสวยงาม   ที่บรรจุดพระศพคือผนังอุโมงค์ที่เจาะเป็นช่องลึกเข้าไป   มีแท่นบูชาวางด้วยตะเกียงดวงเล็กๆแขวนไหว้ด้านหน้า ปัจจุบันสุสานแห่งอเล็กซานเดรียได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง

คลิกรูปกลับด้านบน

สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย


4.  กำแพงเมืองจีน(ตั้งอยู่ที่  ประเทศจีน)
         กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 332 - 339   โดยจิ๋นซีฮ่องเต้   เป็นกำแพงอิฐที่ยาวที่สุดในโลก   ซึ่งยาวประมาณ 2400 กิโลเมตร   เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวตาตาร์   กำแพงสร้างด้วยดิน  หิน  และก่ออิฐโดยรอบ   มีการสร้างป้อมปราการประมาณ  15,000  แห่ง   มีฐานกว้างประมาณ  20  ฟุต   ทางเดินกว้างประมาณ 12 ฟุต  สูงประมาณ  25  ฟุต  มีระฆังบอกเหตุประมาณ  20,000  หอ   ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า  10  ปี   โดยแรงงานของประชาชนนับล้านคนและมีผู้เสียชีวิตในระหว่างการสร้างประมาณหมื่นคน   ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอสมควร   ปัจจุบันกำแพงเมืองจีนได้รับการบูรณะซ่อมแซมในส่วนที่ชำรุดเสียหาย   ซึ่งทำให้กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม


กำแพงเมืองจีน

5.  กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์(ตั้งอยู่ที่ เมืองซัลลิสเบอรี่มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ )
        กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์   มีอายุประมาณปลายยุคหินถึงต้นยุคบรอนซ์   ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบซาลิสเบอรี   ด้านเหนือของเมืองซาลิสเบอรี   ในมณฑลวิลไซร์   ห่างจากกรุงลอนดอนไป  10  ไมล์   ประเทศอังกฤษ   ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้นำมาวางไว้   และนำมาวางไว้เพื่อจุดประสงค์ใด   นักวิทยาศาสตร์บางท่านสันนิษฐานว่าสร้างมาเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของมนุษย์ยุคนั้น   กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ประกอบไปด้วยก้อนหินทรงสูงขนาดใหญ่จำนวน 112 ก้อนวางตั้งเรียงเป็นรูปวงกลมซ้อนกันสามวง   บางก้อนล้มนอน   บางก้อนวางทับซ้อนอยู่บนยอด   วงหินรอบนอกมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง  100  ฟุต   มีน้ำหนักเป็นตันๆ   บริเวณที่ราบซาลิสเบอรีเป็นทุ่งโล่ง   ไม่มีภูเขา   และไม่ปรากฏว่ามีก้อนหินอยู่ในบริเวณใกล้เคียง   อย่างไรก็ตามในปี  พ.ศ.  2507  เจอรัลด์  เอส  เฮากินส์   นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันได้สันนิษฐานว่า   เป็นสถานที่สำหรับทำนายตำแหน่งของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่สัมพันธ์กับการเกิดฤดูกาลบนพื้นโลก  คือเป็นปฏิทินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆนั่นเอง



กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์

6.  เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง(ตั้งอยู่ที่ เมืองนานกิง ประเทศจีน)
        เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง   ตั้งอยู่ที่เมืองนานกิงที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน   สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์เหม็ง   เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15     ตัวเจดีย์มีลักษณะทรงสูงรูปแปดเหลื่ยม   หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว   แขวนกระดิ่งไว้ 80 ลูก   โดยรอบเจดีย์ก่อด้วยอิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ   ยอดปลายแหลมของเจดีย์เป็นรูปทรงกลมต่อกันขึ้นไปและเคลือบด้วยทอง   แต่เจดีย์องค์เดิมมี  3  ชั้น   ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ.  1973  ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น  9  ชั้น   มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์  8  เส้น  โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม  72  ลูก   ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก   เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392


 เจดีย์กระเบื้องเคลือบนานกิง

7.   สุเหร่าเซ็นต์โซเฟีย(ตั้งอยู่ที่ เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือ เมืองฮิสตันบูล ประเทศตุรกี )
          สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ตั้งอยู่ที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล(เมืองฮิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) สร้างเมื่อ ค.ศ. 532 พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์แต่ถูกผู้ก่อการร้ายเผาเสียวอดวายจนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียนจึงได้สร้างขึ้นใหม่ เมื่อประมาณปี ค.ศ 1453 ในเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ประกอบด้วยเสางามสลักอย่างวิจิตร 108 ต้น (ชั้นบน 68 ต้น ชั้นล่าง 40 ต้น) มียอดเป็นโดมคล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลมๆมากมายและประดับประดาด้วยสิ่งของมีค่าอย่างเหลือล้นจนถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมหมัดที่ 2 ของตุรกีจึงเปลี่ยนแปลงโบสถ์ให้เป็นสุเหร่าทางศาสนาอิสลาม ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์

คลิกรูปกลับด้านบน

สุเหร่าเซนต์โซเฟีย






3.สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 17 - 20)

          สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคปัจจุบันมีทั้งสิ้น  7  อย่าง   ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยังคงอยู่สมบูรณ์มากกว่าทั้งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณและยุคกลาง   อีกทั้งยังคงความสวยงามอยู่จนถึงทุกวัน

1. ปราสาทหินนครวัด (ตั้งอยู่ที่ประเทศกัมพูชา )
    ปราสาทหินนครวัด   เป็นปราสาทหินที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุดของขอม   และเป็นเทวสถานทางศาสนาพราหมณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก   สร้างขึ้นเมื่อเมื่อประมาณ พ.ศ. 1656 - 1693โดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2  แห่งอาณาจักรขอม   ปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา   ปราสาทหินประกอบไปด้วยปราสาทใหญ่ 5 องค์   ตั้งอยู่ที่บนฐานสี่เหลี่ยมที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆสูง 12 เมตรบนฐานชั้นบนมีปราสาทองค์ใหญ่สูงประมาณ 40 เมตร   ตั้งอยู่ตรงกลาง   และมีปราสาทขนาดเล็กกว่าล้อมรอบอยู่ทั้ง 4 ทิศ   ซึ่งมีระเบียงหินสลักภาพนูนเชื่อมปราสาททั้ง 4 ด้าน   และยังมีระเบียงหินขนาดใหญ่เป็นกำแพงล้อมรอบถัดออกไปอีกชั้นหนึ่ง   ซึ่งเป็นระเบียงที่มีภาพสลักนูนแสดงเหตุการณ์ต่างๆและตำนานทางศาสนา   บริเวณของปราสาทหินนครวัดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,005 ไร่   ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ   และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเพื่ออนุรักษ์ให้เป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่าทางด้านสถาปัตยกรรม  ศิลปกรรม  และวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง


 ปราสาทหินนครวัด 

2.  ทัชมาฮาล (ตั้งอยู่ที่ ประเทศอินเดีย )
     ทัชมาฮาล  เป็นสุสานหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สวยงามสมบูรณ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยมนา  เมืองอักรา ประเทศอินเดีย   ทัชมาฮาลสร้างขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17   เมื่อประมาณค.ศ. 1630 - 1652  ใช้เวลาก่อสร้าง 17 ปี  ใช้เวลาตกแต่ง 5 ปี  รวมเวลาทั้งหมด 22 ปี   ใข้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 30 ล้านรูปี   โดยพระเจ้าชาห์  เจฮัล   กษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุล   เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่มีต่อพระมเหสีมุมตัส   สุสานทัชมาฮาลสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นรูปโดมตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซียสูง 61 เมตร   ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างด้านละ 95 เมตรหนา 5 เมตร   มีหอคอยยอดแหลมสูง 95 เมตร   ตั้งอยู่ที่มุมของฐานประจำ 4 ทิศ   ใช้คนงานในการสร้างประมาณ 22,000 คนควบคุมการสร้างโดย  อัสตาด  ไอซา  สถาปนิกในสมัยนั้น


 ทัชมาฮาล
3.  พระราชวังแวร์ซายส์(ตั้งอยู่ที่ ประเทศฝรั่งเศส )
        พระราชวังแวร์ซายส์   แห่งเมืองแวร์ซายส์   ประเทศฝรั่งเศส   สร้างขึ้นเมื่อปี  ค.ศ. 1661 - 1681  โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  แห่งฝรั่งเศส   จุดประสงค์สำคัญคือต้องการให้ชาวโลกเห็นว่า ความมั่งคั่งสมบูรณ์และความงามเลอเลิศที่สุดในโลกมารวมอยู่ที่ฝรั่งเศสทั้งหมด   จึงได้สั่งให้รื้อพลับพลาที่สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ทิ้ง   และให้สร้างพระราชวังใหญ่ทำด้วยหินอ่อนและตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร   ด้วยสิ่งประดับที่หาค่ามิได้   ทั้งลวดลายแกะสลักในไม้และหิน เครื่องเคลือบ   เครื่องเงิน   เครื่องทอง   หินอ่อน   ภาพเขียนจากฝีมือจิตรกรชื่อดังและฝีมือชั้นเยี่ยม   โดยใช้เงินในการก่อสร้างไปเป็นเงิน  500  ล้านฟรังค์   ใช้แรงงานคนในการก่อสร้าง30,000  คน   และใช้เวลาสร้างนานถึง 30 ปี   ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์   ยังมีความงามเป็นเลิศ   ซึ่งฝรั่งเศสใช้เป็นสถานที่รับแขกเมือง   การประชุมที่สำคัญระดับชาติ

 

พระราชวังแวร์ซายส์

4 เรือควีนแมรี่(ตั้งอยู่ที่  เมืองลองบีช ประเทศสหรัฐอเมริกา)
     เรือโดยสารควีนแมรี   สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1939  ที่อู่ต่อเรือในสก็อตแลนด์   เป็นเรือทะเลขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา   ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ มีความยาว 306 เมตร  สูง 55 เมตร  หนัก 80,773 ตัน   มีอัตราความเร็ว 30 น๊อต   จุผู้โดยสารได้ประมาณ 2,075 คน   บริเวญภายในเรือมีห้องพัก  ห้องสมุด  ห้องอาหาร  คลินิก  โรงพิมพ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย   พื้นที่บนดาดฟ้าเรือประมาณ 7.5 ไร่   เป็นบริเวณที่ใช้จัดงานเลี้ยงและสนามกีฬา   เดิมทีเรือโดยสารควีนแมรีเป็นเรือเดินสมุทร   แต่ได้ดัดแปลงเป็นภัตตาคารและโรงแรมในปี ค.ศ. 1967     ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำอยู่ที่ท่าเรือลอง
บิช   รัฐแคลิฟอร์เนีย  สหรัฐอเมริกาม


เรือโดยสารควีนแมรี

5.  สะพานโกลเดนเกต(ตั้งอยู่ที่ มืองซานฟรานซิศโก ประเทศสหรัฐอเมริกา  )
        สะพานโกลเดนเกด   เป็นสะพานที่ทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของเมืองท่าซานฟรานซิสโก  
ในรัฐแคลิฟอร์เนีย  สหรัฐอเมริกา   สร้างขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์
เมื่อค.ศ. 1933 - 1937   เฉพาะช่วงตอนกลางของสะพานยาว 1,280 เมตรหรือ 4,200 ฟุต
กว้าง 27 เมตรหรือ 90 ฟุต   อยู่สูงกว่าน้ำทะเล 67 เมตร   ข้างสะพานทั้งสองข้างมีสะพานช่วงสั้นต่อกันรวมเกือบ 7 กิโลเมตร   มีหอคอยเหล็กสองข้างสูงข้างละ 746 ฟุต   แบ่งเป็นทางรถยนต์โดยสาร 6 ทาง  รถบรรทุก 3 ทาง  ทางรถไปอีก 2 ทาง   และใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา   ปัจจุบันสะพานโกลเดนเกดเป็นสะพานที่ประชาชนสนใจในความมหัศจรรย์



สะพานโกลเดนเกด

6.  ตึกเอมไพรสเตท(ตั้งอยู่ที่ บนเกาะแมนฮัดตัน นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา)
        ตึกเอมไพร์สเตท   ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน   กรุงนิวยอร์ก   สหรัฐอเมริกา   สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ1929 - 1937   ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 8 ปี   เสียงบประมาณในการก่อสร้าง 5 ล้านปอนด์ตัวตึกสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 1,248 ฟุต  มี 102 ชั้น  มีหน้าต่าง 6,500 บาน  มีลิฟท์ขึ้นลง 63 แห่ง   ครอบคลุมพื้นที่ 2,158,000 ตารางฟุต   สามารถจุคนได้ 25,000 - 80,000 คน   ใช้เป็นสำนักงานของบริษัทขนาดใหญ่ 600 กว่าบริษัท   ส่วนสำคัญของตึกเอมไพร์สเตทจากชั้นล่างถึงชั้นที่ 86  สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี   น้ำหนัก 730 ตัน   ชั้นบนสุดมีโคมไฟสูงขึ้นไปอีก 200 ฟุต   ผู้ก่อสร้างรับประกันความถาวรทนทานของตึก 6,000 ปีตึกเอมไพร์สเตทเคยได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก   แม้ปัจจุบันจะไม่ได้เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกแล้ว   แต่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ชิ้นแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 20


 

ตึกเอมไพร์สเตท

7.   เขื่อนฮูเวอร์(ตั้งอยู่ที่หุบเขาแบลกแคนยอน ระหว่าง รัฐเนวาดา กับ รัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา)
          เขื่อนฮูเวอร์  เป็นเขื่อนขนาดใหญ่เขื่อนแรก   สร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1922 - 1933   ในสมัยของประธานาธิบดีฮูเวอร์แห่งสหรัฐอเมริกา   ใช้เวลาในการก่อสร้างนาน 7 ปี   เขื่อนฮูเวอร์เป็นเขื่อนแรกที่สามารถเอาชนะธรรมชาติ  คือ  น้ำท่วมและสามารถเก็บกักน้ำ   ทำให้เกิดทะเลสาบขนาดใหญ่ขึ้น   ตัวเขื่อนสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 228 เมตร ยาว 391 เมตร   ทะเลสาบมีเหนือเขื่อนยาว 184 กิโลเมตร   ครอบคลุมพื้นที่ 582.75 ตารางกิโลเมตร   สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ 1,835,000 กิโลวัตต์   เขื่อนฮูเวอร์สร้างขึ้นที่บริเวณหุบเขาแบล็คแคนยอน  ระหว่างรัฐอลิโซนากับรัฐเนวาดา   ปัจจุบันเขื่อนฮูเวอร์ไม่ได้จัดเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก   แต่ก็นับว่าเป็นเขื่อนยักษ์แห่งแรกของโลก


เขื่อนฮูเวอร์



ขอบคุณข้อมูลจาก